จิตวิทยาคืออะไร
คำว่า “จิตวิทยา” เป็นคำที่เข้าใจได้ยากและถูกเข้าใจผิดโดยคนส่วนใหญ่อยู่เสมอ สมัยที่ผมเอนทรานซ์และเลือกเรียนจิตวิทยา ผมคิดว่าจิตวิทยาน่าจะเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเพื่ออ่านใจคน หรือไม่ก็เป็นการฝึกฝนพลังอำนาจทางจิต แต่พอได้เข้ามาเรียนแล้ว ผมพบว่าความเข้าใจของผมค่อนข้างจะห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่พอสมควร และผมไม่ได้เป็นคนเดียวที่มีความเข้าใจผิดเช่นนี้
จากการได้พูดคุยกับผู้คนจำนวนมาก ผมพบว่าพวกเขาเองก็มีทัศนะต่อจิตวิทยาไม่ต่างอะไรกับผม เมื่อรู้ว่าผมร่ำเรียนจิตวิทยามา บ้างก็บอกว่าให้ผมทายว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ บ้างก็บอกว่าช่วยสะกดจิตให้ดูที ซึ่งผมก็ต้องอธิบายให้พวกเขาเข้าใจว่า “ผมไม่ใช่หมอดูนะครับ”
คำว่า “จิตวิทยา” (Psychology) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกจากคำว่า “Psyche” ที่แปลว่า “จิตใจ หรือจิตวิญญาณ” กับคำว่า “logos” ที่แปลว่า “การศึกษา” ดังนั้นความหมายของจิตวิทยาในยุคแรกเริ่มก็คือ “ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับจิตใจ”
ต่อมาความหมายของจิตวิทยาในการรับรู้ของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ขึ้นอยู่กับแนวคิดที่มีอิทธิพลต่อนักจิตวิทยาหรือความสนใจของนักจิตวิทยาในยุคนั้นๆ เช่น ในยุคที่แนวคิดเรื่องจิตไร้สำนึกเป็นที่สนใจ จิตวิทยาก็ถูกมองว่าการศึกษาเกี่ยวกับจิตไร้สำนึก แต่ในยุคที่สำนักพฤติกรรมนิยมเป็นใหญ่ ความหมายของจิตวิทยาก็เปลี่ยนไปเป็นการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรม เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม จิตวิทยาในแต่ละยุคก็ไม่ได้มีความหมายโดดๆ เพียงอย่างเดียว เพราะแนวคิดทางด้านจิตวิทยาจำนวนมากเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกัน จนกระทั่งปัจจุบันที่แนวคิดและความสนใจของนักจิตวิทยามีความหลากหลายอย่าง ยิ่งจนไม่อาจจำกัดเอาไว้ด้วยความหมายใดความหมายหนึ่งโดยเฉพาะ
สมาคมจิตวิทยาอเมริกา (American Psychological Association: APA) องค์กรทางด้านจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลกให้ความหมายของจิตวิทยาไว้ว่า: “การศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพฤติกรรมและกระบวนการทางจิตของปัจเจกบุคคล” พูดให้ง่ายขึ้นก็คือ จิตวิทยาเป็นการศึกษาเกี่ยวกับความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมของมนุษย์โดยใช้วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ เช่น การศึกษาเรื่องกระบวนการเรียนรู้ การศึกษาลักษณะของบุคลิกภาพ การศึกษาพัฒนาการแต่ละช่วงวัยของบุคคล เป็นต้น
ทุกวันนี้สมาคมจิตวิทยาอเมริกันมีการศึกษาทางจิตวิทยามากถึง 56 สาขา ครอบคลุมประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์มากมาย เช่น การศึกษา สุขภาพ กีฬา สังคม การเมือง ศาสนา ฯลฯ ไม่ใช่การอ่านใจคนหรือฝึกฝนพลังอำนาจทางจิตอย่างที่ผมและหลายๆ คนเคยเข้าใจ
เมื่อไม่นานมานี้ มีกรณีน่าสนใจที่นักศึกษาสาวจิตวิทยาคนหนึ่งตกเป็นข่าวว่าใช้จิตวิทยาหมู่ล่อลวงนายแพทย์หนุ่มใหญ่เจ้าของโรงเรียนกวดวิชาเพื่อหลอกเอาเงิน ทำให้สื่อมวลชนหันมาให้ความสนใจกับจิตวิทยากันมากทีเดียวว่าสามารถทำเช่นนั้นได้จริงหรือไม่ ผมไม่อยากตอบเองครับว่าทำได้หรือไม่ มาฟังคำตอบจากคณะบดีต้นสังกัดของนักศึกษาสาวผู้นั้นดีกว่าครับ ท่านบอกว่า “หากคนเรียนจิตวิทยาแล้วสามารถทำแบบนี้ได้ ผมว่าคนคงหันมาเรียนจิตวิทยากันหมดแล้ว”
จิตวิทยาเป็นการศึกษาเกี่ยวกับจิตใจของคนก็จริงครับ แต่ไม่ได้หมายความว่าสามารถนำไปใช้สะกดจิตหรือล่อลวงคนอื่น (ที่สื่อมวลชนเรียกว่าจิตวิทยาหมู่) โดยเจ้าตัวไม่รู้เรื่องได้ แต่จะล่อลวงด้วยวิธีการอื่นหรือไม่ อันนี้ก็ต้องติดตามกันเอาเองครับ
http://blackdogsworld.wordpress.com/2008/02/07/what-is-psychology/

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555
การพัฒนาแรงจูงใจในการเรียน
การพัฒนาแรงจูงใจในการเรียน
แรงจูงใจเป็นตัวกระตุ้นให้คนเราแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ กัน หรือเป็นแรงขับ การที่คนแสดงพฤติกรรมอย่างใดนั้น เนื่องมาจากคนมีความต้องการ และการที่คนเรามีความต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มักเป็นเพราะว่าเขาขาดสิ่งนั้น ความต้องการจะเป็นแรงผลักดันให้เราแสดงพฤติกรรมเพื่อให้ได้สิ่งนั้น ๆ มาเมื่อได้สิ่งที่สนองความต้องการแล้ว เราจะหยุดพฤติกรรมนั้น แต่เนื่องจากมนุษย์มีความต้องการไม่สิ้นสุด จึงมีการแสดงพฤติกรรมอยู่ตลอดเวลา
สำหรับแรงจูงใจทางการเรียน หรือ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์เป็นสิ่งที่เกิดจากการเรียนรู้ไม่ใช่เกิดตามกรรมพันธุ์ การฝึกฝนอบรม ตลอดจน สิ่งแวดล้อมจะมีผลโดยตรงต่อระดับแรงจูงใจของบุคคล
วิธีสร้างเสริมแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ให้สูงขึ้นนั้น มีหลักปฏิบัติดังนี้
1. ต้องรู้จักพึ่งตนเอง ไม่ว่าจะทำสิ่งใดถ้าไม่เกินความสามารถของตนแล้ว ควรจะเร่งรีบทำด้วยตนเอง ไม่ควรพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลา
2. เป็นตัวของตัวเอง มีความเชื่อมั่นและมีเหตุผล ในการทำงานทุกครั้ง ถ้าได้พิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วน อย่างมีเหตุผลแล้ว ก็ควรตัดสินใจทำอะไรด้วยตนเองได้
3. ใช้ความสามารถของตนเองในการทำงานให้เต็มที่เสมอ เพื่อนำความสำเร็จ ความภาคภูมิใจมาสู่ตน
4. ต้องกล้าเผชิญกับปัญหา หรืออุปสรรคต่าง ๆ มุ่งมั่นที่จะเอาชนะปัญหาให้ได้ และพยายามให้ตนเองเกิดความรู้สึกเพลิดเพลินในการแก้ปัญหานั้น ๆ
5. พยายามแข่งขันกับตนเอง โดยตั้งความคาดหวัง หรือเกณฑ์มาตรฐานของตนเอาไว้ และพยายามทำให้ได้ผลสำเร็จไม่ต่ำกว่าเกณฑ์นั้น
6. ต้องรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย โดยตั้งใจทำงานนั้นให้บรรลุผลสำเร็จ
จงพยายามและทุ่มเทพลังงานลงไปในสิ่งที่นักศึกษาทำ ด้วยพลังและท่าทีที่ถูกต้องของตัวนักศึกษา นักศึกษาสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการปฏิบัติต่อสิ่งต่าง ๆ ได้ นักศึกษาสามารถแม้แต่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของนักศึกษาเองได้ ขอให้นักศึกษาจงสำรวมใจตั้งมั่นมีสมาธิกับกฎพื้นฐานต่อไปนี้
จงสร้างความรู้สึกว่านักศึกษารักการศึกษา
จงสร้างความรู้สึกว่านักศึกษาชอบวิชาที่กำลังเรียนอยู่
จงสร้างความรู้สึกที่ดีต่องานของนักศึกษาเอง
มีคำพูดที่กล่าวกันมา "คุณเป็นอย่างที่คุณคิด" ถ้านักศึกษาคิดในแง่ของความล้มเหลว นักศึกษาค่อนข้างแน่ใจได้ว่า นักศึกษาจะต้องประสบความล้มเหลว แต่ในทางกลับกัน ถ้านักศึกษาสามารถฉุดตัวเองขึ้นมา และเปลี่ยนท่าทีและพฤติกรรมการเรียนเสียใหม่ นักศึกษาก็จะเปลี่ยนแปลงแนวคิดของนักศึกษาได้ ถ้านักศึกษาคิดถึงความสำเร็จ ท้ายที่สุด ความสำเร็จนั้นจะเป็นของนักศึกษา
การที่นักศึกษาจะสามารถสร้างท่าทีต่อการเรียนให้เป็นไปในเชิงบวก และสร้างสรรค์ได้นั้น ประการแรก นักศึกษาต้องยอมรับว่า ความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับนักศึกษานั้นเองไม่ใช่ใครอื่น ถ้านักศึกษาได้กำหนด เป้าหมายและวางแผนที่จะสัมฤทธิ์ถึงเป้าหมายแล้ว พลังที่จะผลักดันให้กระทำเช่นนั้นมาจากตัวนักศึกษาเอง เมื่อนั้นนักศึกษาจะไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรมาบังคับตัวนักศึกษาเอง
http://www.stou.ac.th/Offices/Oes/OesPage/Guide/article/n2.html
แรงจูงใจเป็นตัวกระตุ้นให้คนเราแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ กัน หรือเป็นแรงขับ การที่คนแสดงพฤติกรรมอย่างใดนั้น เนื่องมาจากคนมีความต้องการ และการที่คนเรามีความต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มักเป็นเพราะว่าเขาขาดสิ่งนั้น ความต้องการจะเป็นแรงผลักดันให้เราแสดงพฤติกรรมเพื่อให้ได้สิ่งนั้น ๆ มาเมื่อได้สิ่งที่สนองความต้องการแล้ว เราจะหยุดพฤติกรรมนั้น แต่เนื่องจากมนุษย์มีความต้องการไม่สิ้นสุด จึงมีการแสดงพฤติกรรมอยู่ตลอดเวลา
สำหรับแรงจูงใจทางการเรียน หรือ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์เป็นสิ่งที่เกิดจากการเรียนรู้ไม่ใช่เกิดตามกรรมพันธุ์ การฝึกฝนอบรม ตลอดจน สิ่งแวดล้อมจะมีผลโดยตรงต่อระดับแรงจูงใจของบุคคล
วิธีสร้างเสริมแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ให้สูงขึ้นนั้น มีหลักปฏิบัติดังนี้
1. ต้องรู้จักพึ่งตนเอง ไม่ว่าจะทำสิ่งใดถ้าไม่เกินความสามารถของตนแล้ว ควรจะเร่งรีบทำด้วยตนเอง ไม่ควรพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลา
2. เป็นตัวของตัวเอง มีความเชื่อมั่นและมีเหตุผล ในการทำงานทุกครั้ง ถ้าได้พิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วน อย่างมีเหตุผลแล้ว ก็ควรตัดสินใจทำอะไรด้วยตนเองได้
3. ใช้ความสามารถของตนเองในการทำงานให้เต็มที่เสมอ เพื่อนำความสำเร็จ ความภาคภูมิใจมาสู่ตน
4. ต้องกล้าเผชิญกับปัญหา หรืออุปสรรคต่าง ๆ มุ่งมั่นที่จะเอาชนะปัญหาให้ได้ และพยายามให้ตนเองเกิดความรู้สึกเพลิดเพลินในการแก้ปัญหานั้น ๆ
5. พยายามแข่งขันกับตนเอง โดยตั้งความคาดหวัง หรือเกณฑ์มาตรฐานของตนเอาไว้ และพยายามทำให้ได้ผลสำเร็จไม่ต่ำกว่าเกณฑ์นั้น
6. ต้องรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย โดยตั้งใจทำงานนั้นให้บรรลุผลสำเร็จ
จงพยายามและทุ่มเทพลังงานลงไปในสิ่งที่นักศึกษาทำ ด้วยพลังและท่าทีที่ถูกต้องของตัวนักศึกษา นักศึกษาสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการปฏิบัติต่อสิ่งต่าง ๆ ได้ นักศึกษาสามารถแม้แต่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของนักศึกษาเองได้ ขอให้นักศึกษาจงสำรวมใจตั้งมั่นมีสมาธิกับกฎพื้นฐานต่อไปนี้
จงสร้างความรู้สึกว่านักศึกษารักการศึกษา
จงสร้างความรู้สึกว่านักศึกษาชอบวิชาที่กำลังเรียนอยู่
จงสร้างความรู้สึกที่ดีต่องานของนักศึกษาเอง
มีคำพูดที่กล่าวกันมา "คุณเป็นอย่างที่คุณคิด" ถ้านักศึกษาคิดในแง่ของความล้มเหลว นักศึกษาค่อนข้างแน่ใจได้ว่า นักศึกษาจะต้องประสบความล้มเหลว แต่ในทางกลับกัน ถ้านักศึกษาสามารถฉุดตัวเองขึ้นมา และเปลี่ยนท่าทีและพฤติกรรมการเรียนเสียใหม่ นักศึกษาก็จะเปลี่ยนแปลงแนวคิดของนักศึกษาได้ ถ้านักศึกษาคิดถึงความสำเร็จ ท้ายที่สุด ความสำเร็จนั้นจะเป็นของนักศึกษา
การที่นักศึกษาจะสามารถสร้างท่าทีต่อการเรียนให้เป็นไปในเชิงบวก และสร้างสรรค์ได้นั้น ประการแรก นักศึกษาต้องยอมรับว่า ความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับนักศึกษานั้นเองไม่ใช่ใครอื่น ถ้านักศึกษาได้กำหนด เป้าหมายและวางแผนที่จะสัมฤทธิ์ถึงเป้าหมายแล้ว พลังที่จะผลักดันให้กระทำเช่นนั้นมาจากตัวนักศึกษาเอง เมื่อนั้นนักศึกษาจะไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรมาบังคับตัวนักศึกษาเอง
http://www.stou.ac.th/Offices/Oes/OesPage/Guide/article/n2.html
เรื่องความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิทยา
จิตวิทยา (Psychology)
คำว่า Psychology (จิตวิทยา)มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ๒ คำ ได้แก่ Psyche (Mind = จิตใจ) และ Logos (Knowledge = ศาสตร์ องค์ความรู้)
ความหมายโดยรวมของ Psychology จึงหมายถึง ศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องพฤติกรรมของอินทรีย์ สิ่งมีชีวิตต่างๆ โดยเฉพาะมนุษย์เป็นสำคัญ เพื่ออธิบาย ทำความเข้าใจทำนาย และควบคุมพฤติกรรมนั้นๆได้
*สามารถติดตามตำนาน เทพนิยายของ Psyche หญิงสาวผู้ถูกนำชื่อมาใช้ในการอธิบายวิทยาการทางจิตวิทยาทั้งมวลได้ในส่วนของ Mythology ในโอกาสต่อไป
ประวัติความเป็นมาของจิตวิทยา
จิตวิทยาได้เริ่มขึ้นโดยนักปราชญ์ชาวกรีก ชื่อ เพลโต และอริสโตเติล เพลโตเชื่อว่าการคิดและการใช้เหตุผลเท่านั้น ที่ทำให้คนเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เขาสามารถจะเข้าใจได้ โดยไม่สนใจวิธีการสังเกตหรือการทดลองใด ๆ แต่อริสโตเติลกลับเป็นนักสังเกตสิ่งรอบตัว เขาสนใจสิ่งภายนอกที่มองเห็นได้ การเข้าใจปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับคนต้องเริ่มด้วยการสังเกตอย่างมีระบบ
ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ศาสนาเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยแนวคิดทางศาสนาเน้นว่าจิตเป็นส่วนที่แยกออกจากร่างกาย
ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 การฟื้นฟูการสืบสวนโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการละทิ้งความเชื่อแบบเดิม ๆ มีการค้นหาความรู้ใหม่ ๆ วิธีการก็เริ่มมีลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ฟรานซิส เบคอน กล่าวว่า “ทฤษฎีให้แนวทาง การวิจัยให้คำตอบ” โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญระหว่างทฤษฎีและการวิจัย
กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีกลุ่มแนวคิดที่สำคัญเกิดขึ้น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มประจักษ์นิยมชาวบริเตน (British Empiricism) ที่เชื่อว่า ความรู้ผ่านเข้ามาทางสื่อกลางของความรู้สึก จิตเป็นที่รวมของความคิดเห็น นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดจิตวิทยากลุ่มสัมพันธนิยม (Associationistic Psychology) นักจิตวิทยาอีกกลุ่มหนึ่งกลับสนใจทางชีวภาพ เช่น ความแตกต่างระหว่างประสาทส่วนรับความรู้สึกกับประสาทส่วนการเคลื่อนไหว และ ลักษณะทางกายที่แสดงปฏิกิริยาสะท้อน (reflex) นักจิตวิทยากลุ่มนี้พยายามอธิบายการกระทำของมนุษย์ด้วยหลักการทางฟิสิกส์ คือ จิตฟิสิกส์ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางกายภาพของสิ่งเร้ากับประสบการณ์รู้สึกที่ผู้ที่ถูกเร้ารายงานออกมา
http://hlinzaii.50webs.com/j1.htm
คำว่า Psychology (จิตวิทยา)มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ๒ คำ ได้แก่ Psyche (Mind = จิตใจ) และ Logos (Knowledge = ศาสตร์ องค์ความรู้)
ความหมายโดยรวมของ Psychology จึงหมายถึง ศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องพฤติกรรมของอินทรีย์ สิ่งมีชีวิตต่างๆ โดยเฉพาะมนุษย์เป็นสำคัญ เพื่ออธิบาย ทำความเข้าใจทำนาย และควบคุมพฤติกรรมนั้นๆได้
*สามารถติดตามตำนาน เทพนิยายของ Psyche หญิงสาวผู้ถูกนำชื่อมาใช้ในการอธิบายวิทยาการทางจิตวิทยาทั้งมวลได้ในส่วนของ Mythology ในโอกาสต่อไป
ประวัติความเป็นมาของจิตวิทยา
จิตวิทยาได้เริ่มขึ้นโดยนักปราชญ์ชาวกรีก ชื่อ เพลโต และอริสโตเติล เพลโตเชื่อว่าการคิดและการใช้เหตุผลเท่านั้น ที่ทำให้คนเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เขาสามารถจะเข้าใจได้ โดยไม่สนใจวิธีการสังเกตหรือการทดลองใด ๆ แต่อริสโตเติลกลับเป็นนักสังเกตสิ่งรอบตัว เขาสนใจสิ่งภายนอกที่มองเห็นได้ การเข้าใจปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับคนต้องเริ่มด้วยการสังเกตอย่างมีระบบ
ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ศาสนาเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยแนวคิดทางศาสนาเน้นว่าจิตเป็นส่วนที่แยกออกจากร่างกาย
ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 การฟื้นฟูการสืบสวนโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการละทิ้งความเชื่อแบบเดิม ๆ มีการค้นหาความรู้ใหม่ ๆ วิธีการก็เริ่มมีลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ฟรานซิส เบคอน กล่าวว่า “ทฤษฎีให้แนวทาง การวิจัยให้คำตอบ” โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญระหว่างทฤษฎีและการวิจัย
กลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีกลุ่มแนวคิดที่สำคัญเกิดขึ้น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มประจักษ์นิยมชาวบริเตน (British Empiricism) ที่เชื่อว่า ความรู้ผ่านเข้ามาทางสื่อกลางของความรู้สึก จิตเป็นที่รวมของความคิดเห็น นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดจิตวิทยากลุ่มสัมพันธนิยม (Associationistic Psychology) นักจิตวิทยาอีกกลุ่มหนึ่งกลับสนใจทางชีวภาพ เช่น ความแตกต่างระหว่างประสาทส่วนรับความรู้สึกกับประสาทส่วนการเคลื่อนไหว และ ลักษณะทางกายที่แสดงปฏิกิริยาสะท้อน (reflex) นักจิตวิทยากลุ่มนี้พยายามอธิบายการกระทำของมนุษย์ด้วยหลักการทางฟิสิกส์ คือ จิตฟิสิกส์ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางกายภาพของสิ่งเร้ากับประสบการณ์รู้สึกที่ผู้ที่ถูกเร้ารายงานออกมา
http://hlinzaii.50webs.com/j1.htm
จิตวิทยาความรัก
จิตวิทยาความรัก
ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับ ความรัก
ภาวะ กาฝาก
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรัก ที่พบบ่อยที่สุดอย่างหนึ่ง คือ ..
“ถ้ารักกันแล้ว...เราขาดกันไม่ได้"
ยกตัวอย่าง...กรณีที่เราจะพบเสมอ
ทันทีที่รู้ว่า คน(ที่เรา)รัก จากไปสู่ที่ชอบ..ที่ชอบ
คือ..ไปอยู่กับ "คน" ที่เขาชอบมากกว่า "เรา"
และที่ชอบของเขา เป็นที่ไม่ชอบของเรา
ไม่ว่าหญิงหรือชายจะเกิดอาการ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ..จะเป็นจะตาย ..
หลายราย ถึงกับสำเร็จความตายด้วยตนเอง คิดว่า เป็นการบูชาความรัก
ตัวอย่าง .. คนไข้สาวรายหนึ่ง แฟนหนุ่ม มีอันต้องจำพรากจากไป...อยู่กับสาวอื่นแทน เธอพรอดพร่ำ รำพัน ต่อหน้าจิตแพทย์
"หนูไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว หนูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา"
[เธอลืมไปว่า..ก่อนที่จะมีเขา... เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ได้]
"หนูรักเขามากค่ะ...คุณหมอคงเข้าใจใช่ไหมคะ ว่าหนูรักเขามากแค่ไหน" ถ้อยคำมากมาย พรั่งพรูจากปากของเธอ
"คุณเข้าใจผิดเสียแล้วล่ะครับ.. คุณไม่ได้รักแฟนคุณหรอก" จิตแพทย์พูดบ้าง หลังจากฟังมานาน
"คุณหมอ หมายความว่ายังไง ...ก็หนูเพิ่งพูดไปแหม่บๆ ว่า ถ้าขาดเขาเสียแล้ว ชีวิตของหนูก็อยู่ไม่ได้” น้ำเสียงเธอ แสดงความไม่พอใจ
จิตแพทย์พยายามอธิบาย “สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมด..ไม่ได้เรียกว่า ความรัก หรอกครับ เขาเรียกว่าภาวะกาฝาก ตราบใดที่คุณยังต้องพึ่งใครสักคน เพื่อความอยู่รอดของคุณ .. คุณก็ทำตัวเหมือนพยาธิในลำไส้ของเขา... มันทำให้ชีวิตคุณ ไม่มีทางเลือก และขาดอิสรภาพ มันกลายเป็น.. ภาวะจำเป็น..มากกว่า..ความรัก"
คนไข้สาวช็อค...ไปชั่วขณะ นึกว่าจะได้รับคำปลอบใจ ที่มีคุณภาพสูงกว่าที่เคยได้จากเพื่อนๆ
แต่หมอยังพูดต่อ ทั้งๆ ที่คนไข้กำลังนั่งนิ่งตะลึง ด้วยความงง .. เหมือนจงใจ "ซ้ำเติม" ...แต่นำปัญญา..สู่จิตอันขลาดเขลา
"ความรักที่แท้..ต้องมีอิสรภาพ... คนสองคนจะรักกันได้ ก็ต่อเมื่อ เขาทั้งสอง สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ตามลำพัง อย่างไม่เป็นทุกข์ แต่เขาทั้งสอง ก็เลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน เพื่อความสุขที่มากขึ้น"
เธอใช้เวลาตั้งสติพักหนึ่ง...สีหน้าเริ่มสงบ ...คิ้วขมวดเริ่มผ่อนคลาย รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่มุมปาก ก่อนเปล่งวาจา ..
"คำพูดของคุณหมอ เปรียบเสมือนแสงตะวัน...ที่สาดส่อง ทะลุทำลาย กำแพงเมฆหมอก ของดิฉัน...
“ถ้ารักกันแล้ว...เราขาดกันไม่ได้"
ยกตัวอย่าง...กรณีที่เราจะพบเสมอ
ทันทีที่รู้ว่า คน(ที่เรา)รัก จากไปสู่ที่ชอบ..ที่ชอบ
คือ..ไปอยู่กับ "คน" ที่เขาชอบมากกว่า "เรา"
และที่ชอบของเขา เป็นที่ไม่ชอบของเรา
ไม่ว่าหญิงหรือชายจะเกิดอาการ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ..จะเป็นจะตาย ..
หลายราย ถึงกับสำเร็จความตายด้วยตนเอง คิดว่า เป็นการบูชาความรัก
ตัวอย่าง .. คนไข้สาวรายหนึ่ง แฟนหนุ่ม มีอันต้องจำพรากจากไป...อยู่กับสาวอื่นแทน เธอพรอดพร่ำ รำพัน ต่อหน้าจิตแพทย์
"หนูไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว หนูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา"
[เธอลืมไปว่า..ก่อนที่จะมีเขา... เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ได้]
"หนูรักเขามากค่ะ...คุณหมอคงเข้าใจใช่ไหมคะ ว่าหนูรักเขามากแค่ไหน" ถ้อยคำมากมาย พรั่งพรูจากปากของเธอ
"คุณเข้าใจผิดเสียแล้วล่ะครับ.. คุณไม่ได้รักแฟนคุณหรอก" จิตแพทย์พูดบ้าง หลังจากฟังมานาน
"คุณหมอ หมายความว่ายังไง ...ก็หนูเพิ่งพูดไปแหม่บๆ ว่า ถ้าขาดเขาเสียแล้ว ชีวิตของหนูก็อยู่ไม่ได้” น้ำเสียงเธอ แสดงความไม่พอใจ
จิตแพทย์พยายามอธิบาย “สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมด..ไม่ได้เรียกว่า ความรัก หรอกครับ เขาเรียกว่าภาวะกาฝาก ตราบใดที่คุณยังต้องพึ่งใครสักคน เพื่อความอยู่รอดของคุณ .. คุณก็ทำตัวเหมือนพยาธิในลำไส้ของเขา... มันทำให้ชีวิตคุณ ไม่มีทางเลือก และขาดอิสรภาพ มันกลายเป็น.. ภาวะจำเป็น..มากกว่า..ความรัก"
คนไข้สาวช็อค...ไปชั่วขณะ นึกว่าจะได้รับคำปลอบใจ ที่มีคุณภาพสูงกว่าที่เคยได้จากเพื่อนๆ
แต่หมอยังพูดต่อ ทั้งๆ ที่คนไข้กำลังนั่งนิ่งตะลึง ด้วยความงง .. เหมือนจงใจ "ซ้ำเติม" ...แต่นำปัญญา..สู่จิตอันขลาดเขลา
"ความรักที่แท้..ต้องมีอิสรภาพ... คนสองคนจะรักกันได้ ก็ต่อเมื่อ เขาทั้งสอง สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ตามลำพัง อย่างไม่เป็นทุกข์ แต่เขาทั้งสอง ก็เลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน เพื่อความสุขที่มากขึ้น"
เธอใช้เวลาตั้งสติพักหนึ่ง...สีหน้าเริ่มสงบ ...คิ้วขมวดเริ่มผ่อนคลาย รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่มุมปาก ก่อนเปล่งวาจา ..
"คำพูดของคุณหมอ เปรียบเสมือนแสงตะวัน...ที่สาดส่อง ทะลุทำลาย กำแพงเมฆหมอก ของดิฉัน...
+++
จิตแพทย์ที่กล้าพูดเตือนสติ แทนการพูดปลอบใจท่านนี้ ....คือ Dr.Scott Peck ... ซึ่งได้เขียนบรรยายเหตุการณ์เรื่องนี้ ในหนังสือขายดีชื่อ …The Road Less Traveled
ซึ่งท่านได้ให้แนวคิดเรื่อง.. "ภาวะพึ่งพิง" (Dependency) ไว้ด้วยความหมายว่า ...
เป็นภาวะ ที่เราไม่สามารถดำเนินชีวิต...โดยปราศจาก การดูแลเอาใจใส่ จากบุคคลอื่น ปกติเราอาจต้องพึ่งพิง ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นในเวลาที่เราได้รับบาดเจ็บ หรือกำลังป่วย
แต่หากเรามีสุขภาพร่างกายที่ดีแล้ว ยังต้องพึ่งพิงผู้อื่นทางจิตใจ เพื่อช่วยให้เราเป็นสุข แสดงว่า... สุขภาพทางจิตของเรา กำลังย่ำแย่ เจ็บป่วย หรือบาดเจ็บ
เวลาที่ผ่านไป.. จะช่วยเยียวยาบาดแผล ให้สมานจนหายสนิท ...พร้อมภูมิต้านทานทางใจ ที่มากขึ้น
+++
คนที่มีสุขภาพจิตดี...จะให้ความรักแก่ตัวเองเป็น และดำเนินชีวิตได้ โดยไม่ต้องพึ่งพิงใคร แต่ อาจพึ่งพาอาศัยกันได้ เพราะคนเรา ไม่ได้เก่ง หรือทำเป็นหมดทุกอย่าง
แต่ ถ้าคุณถึงขั้น.. "ขาดเขาไม่ได้" จงอย่าเอาคำว่า "รักเขามากเหลือเกิน" มาลวงหลอกใจตัวเอง
ยิ่งต้องถึง..คิดฆ่าตัวตาย... ยิ่งแสดงว่า ..."แม้แต่ตัวเอง ...ก็ยังไม่รัก"
หลายคนคิดว่า... ถ้าฉันฆ่าตัวตายจะทำให้เขารู้สึกผิดกับการกระทำของเขาที่ทิ้งเราไป...
คิดเอาว่า.."เขาจะต้องเสียใจ..ไปตลอดชีวิต" คิดอย่างนี้...ส่วนใหญ่ มักตายฟรี!
ปัจจุบัน..ผู้หญิงไทยมีการศึกษา มีการงานและความสามารถไม่แพ้เพศชาย ไม่จำเป็นต้องอาศัยเพศชายเป็นผู้นำของชีวิตเหมือนหญิงไทยสมัยโบราณ ผู้หญิงทั้งหลายสามารถใช้ชีวิตด้วยตนเองได้ อย่างมีความสุข และภาคภูมิใจ ในเกียรติของผู้หญิง
และหากได้พบชายใด ที่เราเห็นว่า ทำให้ชีวิตเรา มีความสุขมากขึ้น และดีขึ้น กว่าการอยู่คนเดียว ... คุณก็อยู่ในฐานะ ที่มีโอกาสเลือก...
ไม่ใช่ จำเป็นต้องเลือก... หรือ..จำใจเลือกเขา...มาเป็นคู่ชีวิต
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ Blog
Blog นี้ เป็น Blog ส่วนตัวที่ใช้ในการเรียนการสอนในรายวิชา อินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)